The Rube ต่างคนต่างที่มาแต่มีใจเดียวกัน คือ รักในเสียงดนตรี โดยมีสมาชิกวงประกอบด้วย เก็ท ศิวพงษ์ เหมวงศ์ (ร้องนำ), จุ๊บ ธีรวงศ์ วัฒนาจารุพงศ์ (กีตาร์), น็อต ทรงพล ศรีสะอาด (เบส) และ เจน ณัชรพงศ์ วัฒนาจารุพงศ์ (กลอง) มารวมตัวกันผ่านการชักชวนของ จุ๊บ มือกีตาร์ของวง ซึ่งทั้ง 4 คน เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน นั่นก็คือ สาขาวิชาดนตรีสากล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม โดยรวมตัวกันภายใต้ชื่อ The Rube ก่อนจะมาประกวดในงาน Melody of life ครั้งที่ 7 ก่อนจะเข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาบ้าน สไปร์ซซี่ ดิสก์
ที่มาของชื่อ The Rube?
หลังจากได้สมาชิกครบถ้วนแล้วก็มาถึงขั้นตอนการหาชื่อวง The Rube ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า Rube ซึ่งเป็นคำแสลง แปลว่า ติดดิน ง่ายๆ เลยเอามาใส่ The ข้างหน้า เป็น “The Rube” เหมือนเป็นการทำงานเรียบง่ายๆ การเป็นอยู่แบบติดดิน ไม่หวือหวา สบาย ๆ
แนวดนตรี
แนวเพลงของ เดอะ รู๊บ พวกเขาขอให้คำนิยามไว้ว่า ไทยประยุกต์ร่วมสมัย (Modern Traditional) คือการนำเอาวัฒนธรรมเพลงไทยในแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉ่อย และเพลงลูกทุ่งมาผสมผสานกับดนตรีสากลทั้ง Funk, R&B, Hip hop และRock เมื่อนำซาวด์ดนตรีเหล่านั้นมารวมเข้ากับเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของ เก๊ท นักร้องนำที่มีรางวัลการันตีมากมายตั้งแต่ยังเด็กจนมีอัลบั้มลูกทุ่งเป็นของตนเองตอนอายุ 11 ปี และด้วยพรสวรรค์ในการร้องจึงทำให้เพลงของพวกเขามีความโดดเด่น และน่าฟังไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ประสบการณ์
2013 Single ทางไกลใจใกล้กัน
2014 Album I’m Spicy
2015 Single กรุณา
รางวัลที่ได้รับ
MTHAI Top Talk-About 2017 กับรางวัลศิลปินกลุ่มที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์
The Guitar Mag Awards 2017 กับรางวัล New Wave Of The Year
Joox Music Awards 2017 กับรางวัล Rock Song Of The Year จากเพลง I’M SORRY (สีดา)
Nine Entertain Awards 2017 ได้รับรางวัลเพลงแห่งปี จากเพลง I’M SORRY (สีดา)
The Rube Song
I’M SORRY (สีดา)
ซิงเกิลเปิดอัลบั้ม “Thai – Machine” (ไทย – แมชชีน) อย่างเป็นทางการของ 4 หนุ่ม “The Rube” (เดอะ รู๊บ) ซึ่งพวกเขาได้สะสมประสบการณ์ และความสามารถทางด้านดนตรี จนพร้อมผลิตผลงานล่าสุด โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวความรักระหว่าง “พระราม” และ “นางสีดา” ในวรรณคดีไทยเรื่อง “รามเกียรติ์” ที่เกิดเหตุการณ์มากมาย ทำให้พระรามเกิดความเข้าใจผิด จนต้องสูญเสียความรักและความเชื่อใจจากนางสีดา และเมื่อพระรามได้รู้ความจริง ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก จึงเป็นที่มาของเพลงนี้ ที่พวกเขาอยากสื่อความรู้สึกสำนึกผิดของอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจทำลงไป ผ่านแนวเพลงที่ถูกเรียกว่า “Modern Traditional” ซึ่งเป็นการนำเอาวัฒนธรรมไทยในแขนงต่างๆ เช่น ลูกทุ่ง, ไทยเดิม และฉ่อย ผสมผสานกับความเป็นดนตรีสากลสมัยใหม่ ทั้ง Funk, Hip-Hop, R&B, Rock ฯลฯ ให้ทุกคนได้เข้าถึงเสน่ห์เอกลักษณ์ความเป็นไทยมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มสีสันให้กับวงการเพลงให้น่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย
FIN (วันทอง) Feat. Mildvocalist
จากเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” สู่การถ่ายทอดผ่านบทเพลง จนเกิดเป็น MUSIC SERIES ตามแบบฉบับของ “The Rube” (เดอะ รู๊บ) โดย “FIN วันทอง” จะเล่าถึงความรู้สึกของ ‘ขุนช้าง’ ที่คิดถึงหญิงสาวอันเป็นที่รักอย่าง ‘นางวันทอง’ จนสุดหัวใจ...ทั้งเสน่ห์และความงดงามของเธอเปรียบดั่งมนต์สะกด จนไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจไปรักหญิงอื่นใดได้อีก และเขาทำได้เพียง เฝ้ารอให้เธอตอบรับความรู้สึกของเขากลับมาบ้าง
โดยในเพลงนี้พวกเขาจะเน้นถ่ายทอดอารมณ์ ท่วงทำนอง รวมถึงการใช้คำที่เชื่อมโยง ถึงการใช้ชีวิตของสังคมในยุคปัจจุบัน นำมาตีความผ่านแนวดนตรี Modern Traditional ที่ยังคงจุดเด่นในการขับร้องแบบไทยเดิมจากเก็ท (ร้องนำ) ผสมผสานกับจังหวะและเนื้อร้องในแบบ Hip-hop จากฝีมือของ เป้ วงมายด์ ทำให้ “FIN วันทอง” เป็นอีกหนึ่งบทเพลงไทยประยุกต์ร่วมสมัย ที่มีทั้งความงดงาม ในด้านของภาษา วัฒนธรรม และดนตรีสมัยใหม่เข้ากันไว้ได้อย่างลงตัว
FOE (ไม่ใช่พระเอก) Feat. หลิว อาจารียา
เมื่อความหลงใหล จาก ‘FIN (วันทอง)’ ถูกเปลี่ยนเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจต่อความรักที่ไม่เคยเป็นตัวจริง จึงอุบัติเป็นที่มาของภาคต่อ MUSIC SERIES ภาค ๒ กับ ‘FOE (ไม่ใช่พระเอก)’ ที่ถูกแต่งขึ้นมาด้วยอารมณ์ตัดพ้อของ ‘ขุนช้าง’ ที่ทำได้แค่มอง และเฝ้าดูความรักของ ‘นางวันทอง’ และ ‘ขุนแผน’ อย่างเจ็บช้ำน้ำใจ จึงแสดงอาการว่าร้าย ประชดประชัน ถึงความเจ้าชู้ของ ‘ขุนแผน’ หวังเพียงนางวันทองจะโกรธแค้น และเปลี่ยนใจหันมามองตนบ้าง แต่กลับกลายเป็นยิ่งตอกย้ำว่า ไม่มีวันที่ ‘นางวันทอง’ จะแลเหลียวตนเองได้เลย โดยในเพลงนี้ ‘เก็ท (นักร้องนำ)’ ได้โชว์ฝีมือการขับร้องพื้นบ้านแบบ ลำตัดร่วมกับลูกทุ่งสาวเสียงหวาน ‘หลิว อาจารียา’ ซึ่งเสน่ห์ของเพลงนี้ จะอยู่ที่การร้องแนวต่อกลอน โต้ตอบกันไปมาระหว่างชายหญิง และจังหวะของเครื่องดนตรีไทยอย่าง กลองรำมะนา ฉิ่ง กรับ ที่มาช่วยเพิ่มอรรถรสเป็นลูกคู่ไปกับเสียงร้อง ผสมกับลวดลายเสียงกีต้าร์ที่เกรี้ยวกราด ของ ‘จุ๊บ (กีต้าร์)’ ซึ่งมาเสริมทัพให้กับเพลงนี้ได้เป็นอีกหนึ่งความในใจจาก ‘พระรอง’ ที่มอบใจรักภักดีมากกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พระเอก’ เสียอีก
FAIL (ขันหมากล่ม)
FAIL (ขันหมากล่ม)’ เพลงบทสรุปของโศกนาฏกรรมรักสามเส้าระหว่าง ‘ขุนช้าง – นางวันทอง – ขุนแผน’ ซึ่งถูกแต่งขึ้นมาจากปลายปากกาของ เก็ท (นักร้องนำ) ที่จะขอถ่ายทอดความรู้สึกในมุมมองของ ขุนช้าง ผู้เพียบพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง และความรักอันเปี่ยมล้น แต่แล้วก็ไม่สามารถชนะใจนางวันทองได้ ก่อให้เกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ผสมกับความแค้น ความผิดหวัง ตัดพ้อนางวันทองไม่จบไม่สิ้น ผ่านถ้อยคำโบราณที่ เก็ทใช้ในการเล่าเรื่อง ผสานคลอไปกับเสียงโห่ เสมือนกับอยู่ในขบวนขันหมาก ยิ่งสร้างความสะเทือนใจขึ้นไปอีก เท่านั้นยังไม่พอในเรื่องของดนตรีวงยังผสมผสานแนวเพลงที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ อย่าง ดิสโก้ (DISCO) มารวมกับ กลองยาว เกิดความกลมกลืนที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่ยังคงแฝงไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในแบบฉบับของ The Rube (เดอะ รู๊บ) ทำให้เพลงนี้ยิ่ง FAIL!! แสนสาหัสเลยทีเดียว